ขึ้นชื่อว่าฟ้าฝน คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ คงเข้าใจดีว่า มันคือสิ่งที่เอาแน่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลย บางทีท้องฟ้ากระจ่างแสงแดงสาดส่องสดใส ไม่ทันไรฝนฟ้าคะนองก็เข้ามาแทนที่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเสมอ แต่สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่านอาจยิ้มเยาะอยู่ในใจ "จะกลัวฝนไปทำไม่เล่า รถเราก็มีหลังคาคุ้มหัว" ถือว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมายสามารถฝ่าสายฝนโปรยปราย สู่ที่หมายได้อย่างไม่กังวลอะไรนัก แต่การจะฝ่าสายฝนโดยรถยนต์นั้น นอกจากหลังคารถแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ "ใบปัดน้ำฝน" นั่นเอง
"ใบปัดน้ำฝน" คืออุปกรณ์ที่รถยนตทุกคันต้องมี ทำหน้าที่ปัดน้ำ, ปัดเศษใบไม้, แมลง, เศษดินโคลน หรือแม้กระทั่งฝุ่นละอองต่างๆ ที่เกาะอยู่บนกระจกหน้าและหลัง ให้หลุดออกพร้อมทำความสะอาด เพื่อทัศนวิสัยการขับขี่ที่ดีในการขับขี่ทุกสภาพแวดล้อม
โดยปกตินั้นอายุการใช้งานของใบปัดน้ำฝนนั้น จะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน แต่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่จะละเลยการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจนอายุการใช้งานนั้นสั้นลงไป ซึ่งผลจากการใช้งานใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ จะทำให้กระจกหน้ารถเป็นรอย เนืื่องจากใบปัดที่แข็งจากการเสื่อมสภาพ นอกจากนั้นถ้าทัศนวิสัยแย่จากฝนตกหนัก จะยิ่งทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลงอีก
ส่วนสาเหตุของการเสื่อมสภาพในใบปัดน้ำฝนนั้น ส่วนใหญ่มาจากความร้อนสะสมที่สะท้อนจากกระจก อันเนื่องมาจากแสงแดด ทำให้ยางอันเป็นส่วนประกอบเกิดการแข็งตัว กรอบ ขาดความยืดหยุ่น นอกจากนั้นฝุ่นละอองที่สะสมอยู่ในใบปัดน้ำฝน ยังทำให้ยางปัดน้ำฝนแข็งตัวได้เร็วขึ้น จนอาจจะเสียดสีกับกระจก จนทำให้กระจกเป็นรอยได้
สำหรับวิธีการสังเกตว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนหรือยัง? โดยดูง่ายๆ จากการทำงานของใบปัดน้ำฝนนั้นปัดสะอาดหรือไม่ เนื่องจากการใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพหรือติดตั้งผิดวิธี จะเกิดละอองน้ำเป็นสันหรือแถบเส้น ตามแนวครึ่งวงกลมที่ใบปัดวาดไป เกิดจากการใช้ยางปัดที่มีอาการแข็งจนกรอบแตก ทำให้ไม่สามารถปาดน้ำจากหน้า กระจกได้สะอาดไม่สามารถจะรีดเอาน้ำออกจากกระจกได้หมด อีกอาการคือ มีเสียงดังรบกวน ใบปัดจะมีเสียงดังเอี๊ยดๆ และมีอาการกระตุกขณะทำงานซึ่งเกิดจากการเสียดสีระหว่างใบปัดน้ำฝนกับหน้ากระจก
ส่วนวิธีการดูแลและยืดระยะการใช้งานใบปัดน้ำฝนนั้น ควรหลีกเลี่ยงความร้อนอันเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ เช่น การจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน ส่วนการดึงใบปัดน้ำฝนขึ้นนั้นไม่แนะนำเพราะการดึงก้านปัดกระจกขึ้นบ่อยๆ จะทำให้สปริงกดใบปัดบนกระจกเกิดเสื่อมลงได้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลง ซึ่งหากเปรียบเทียบกันระหว่างราคาค่าเปลี่ยนสปริงกับใบปัดน้ำฝนนั้น ค่าเปลี่ยนสปริงจะสูงกว่าราคาใบปัดน้ำฝนมากทีเดียว นอกจากนั้นควรหมั่นตรวจเช็คสภาพและเช็ดทำความสะอาดคราบฝุ่นละอองบ่อยๆ ตรวจดูร่องรอยการฉีกขาดของใบปัด ถ้าเจอให้ทำการเปลี่ยนให้เรียบร้อย นอกจากนั้นควรหมั่นตรวจเช็คกระบอกน้ำฉีดกระจก หมั่นเติมน้ำสะอาด หรือน้ำผสมน้ำยาทำความสะอาดก็ได้ (อย่าลืมเขย่าให้น้ำและน้ำยาผสมเข้ากันเสียก่อน)
ส่วนการเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนนั้น คุณสามารถหาซื้อและเปลี่ยนได้เอง โดยดูจากขนาดใบปัดน้ำฝนที่ติดมากับรถว่ามีขนาดกี่นิ้ว หากรถยนต์ที่ใช้มีทั้งใบปัดน้ำฝนหน้าและใบปัดน้ำฝนหลัง ให้ดูให้ดีขนาดอาจไม่เท่ากัน วิธีการเปลี่ยนก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง หรือง่ายกว่านั้นคือให้ร้านที่เราซื้อมาเปลี่ยนให้ โดยปัจจุบันใบปัดน้ำฝนของแท้มียี่ห้อราคาจะแพง แต่ใช้งานได้หลายปี หากมีเงินพร้อมจ่ายก็เลือกซื้อได้เลย ส่วนท่านที่ต้องการดูแลรักษาและเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนรถยนต์แบบประหยัดแนะนำให้ใช้ใบปัดน้ำฝนทั่วไป ราคาถูกกว่ามาก อายุการใช้งานสั้นประมาณ 1 ปี เพียงคุณเปลี่ยนทุกๆ หน้าฝนปีละครั้ง ก็ประหยัดและพร้อมใช้งานในทุกสภาพอากาศ อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.auto-thailand.com
http://www.thaiengine.org/